0

อุด้ง

อุดง (ญี่ปุ่น: 饂飩, うどん udon ?) เป็นอาหารญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งสาลี ลักษณะเป็นเส้น หนา ยาว มีสีขาว

อุดง นิยมรับประทานทานร้อนๆ ในน้ำซุปใส ซึ่งทำจากดาชิ (ญี่ปุ่น: 出汁, だし dashi ?) (หัวเชื้อน้ำซุป) และโชยุ (ญี่ปุ่น: 醤油 shōyu ?) (ซีอิ๊วญี่ปุ่น) และมิริน (ญี่ปุ่น: 味醂, みりん mirin ?) (เหล้าสำหรับปรุงอาหาร)

อุดง มีชื่อเรียกหลายชื่อ ขึ้นอยู่กับอาหารที่นำมาวางบนเส้นอุดง เช่น เทมปุระอุดง (ญี่ปุ่น: 天ぷらうどん tempura udon ?) คือ อุดงหน้ากุ้งชุบแป้งทอด และ คิทสึเนะอุดง (ญี่ปุ่น: きつねうどん kitsune udon ?) คือ อุดงหน้าเต้าหู้หวาน เป็นต้น

ต้นกำเนิด

เส้นอุดงมีต้นกำเนิดมาจาก เส้นชูเมี่ยน (ภาษาจีน:粗麵 , พินอิน: cū miàn) ของประเทศจีน เป็นเส้นทำจากแป้งสาลี ยาว หนาประมาณ 2-3 เซนติเมตร นิยมทานในน้ำซุปผสมเต้าเจี้ยว ถือเป็นอาหารภาคเหนือของจีน

เส้นอุดง ได้เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปจาริกยังประเทศจีน ชาวญี่ปุ่นได้ยกย่องพระคูไค (ญี่ปุ่น: 空海  Kūkai ?) และพระเอ็นนิ (ญี่ปุ่น: 圓爾辯圓 Enni Ben’en ?) ให้เป็นต้นตำรับการปรุงเส้นอุดงของญี่ปุ่น พระคูไคเดินทางไปยังประเทศจีนในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 9เพื่อศึกษาพุทธศาสนา โดยอดีตจังหวัดซะนุคิ (ญี่ปุ่น: 讃岐国 Sanuki no kuni ?) บนเกาะชิโกะกุ (ญี่ปุ่น: 四国  Shikoku ?) หรือปัจจุบันคือจังหวัดคะงะวะ (ญี่ปุ่น: 香川県 Kagawa-ken ?) ประกาศตัวเป็นผู้สืบทอดสูตรการทำอุดงจากพระคูไค ส่วนพระเอ็นนิ ซึ่งเป็นพระนิกายเซน (ญี่ปุ่น:  Zen ?) สำนักรินไซ (ญี่ปุ่น: 臨済宗 Rinzai-s ?) ได้เดินทางไปประเทศจีนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยมีเมืองฮะคะตะ (ญี่ปุ่น: 博多区 Hakata-ku ?) จังหวัดฟุกุโอกะ(ญี่ปุ่น: 福岡県 Fukuoka-ken ?) เป็นผู้ประกาศว่าสืบทอดสูตรของพระเอ็นนิ

อาหารที่ทำจากเส้นอุดง

ช่นเดียวกับอาหารเส้นอื่นๆของญี่ปุ่น อุดงนิยมรับประทานเย็นในฤดูร้อน และรับประทานร้อนในฤดูหนาว อาหารต่างๆที่นำมาวางบนเส้นอุดงแสดงถึงฤดูกาลนั้นๆ และความสมดุลกับส่วนผสมอื่นๆ อาหารที่นำมาวางบนเส้นอุดงนั้นถูกปรุงอย่างเรียบง่าย บางครั้ง นำไปทานกับเส้นโซบะได้เช่นกัน

อุดงร้อน

CR.https://th.wikipedia.org/wiki/

0

นินจา

นินจา (ญี่ปุ่น: 忍者 นินจะ หรือ ญี่ปุ่น: 忍び ชิโนะบิ ความหมาย: “ผู้คงทน”) ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มสายลับ ในช่วงสมัยเปลี่ยนการปกครองของประเทศญี่ปุ่น โดยขณะเดียวกันนินจาได้ถูกเปรียบเทียบกับซะมุไร ซึ่งซะมุไรเปรียบเหมือนนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า ขณะที่นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหลัง นอกจากนี้มีการกล่าวกันว่ากลุ่มคนบางคนเป็นทั้งนินจาและซะมุไรพร้อมกัน ในปัจจุบันไม่มีร่องรอยของบุคคลที่เป็นนินจาหลงเหลือ เหลือเพียงแต่ซะมุไร สำหรับนินจาหญิงจะเรียกว่า คุโนะอิจิ

ที่มาของคำว่านินจา

คำว่านินจาเชื่อว่ามีการใช้มาประมาณ 800 ปีก่อน ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ (วิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน) ซึ่งมาจากประโยคที่ว่า ชิโนบิโนะโมโนะ โดยเขียนในคันจิว่า 忍者 โดยตัวอักษรแรก 忍 (นิน) หมายถึง “คงทน” โดยในภายหลังคำนี้ได้มีความหมายเพิ่มเติมหมายถึง “การซ่อนตัว” และ “การขโมย” โดยตัวอักษรที่สอง 者 (จา) หมายถึง “บุคคล” นอกจากนี้ได้มีภาษาจีนได้กล่าวถึงนินจาว่า 林鬼 (หลินกุ่ย) ซึ่งหมายถึง ปีศาจในป่า

ประวัติของนินจา

เนื่องจากตามลักษณะของนินจาที่ได้ชื่อว่านินจาไม่เคยทิ้งร่องรอยอะไรไว้รวมถึงไม่กล่าวคุยโวเกี่ยวกับผลงานของตัวเอง ซึ่งทำให้ผลงานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บไว้เป็นความลับ ซึ่งเป็นการยากที่จะหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนินจา ในตำนานหนึ่งได้มีการกล่าวถึงมินะโมะโตะ โนะ โยะชิซึเนะ ว่าได้มีเทนงูมาสอนวิชาให้มินะโมะโตะ โนะ โยะชิซึเนะะเพื่อฝึกฝนเป็นนินจา โดยในประวัติศาสตร์ได้มีกล่าวไว้ว่ามีพระภิกษุชาวจีนรูปหนึ่งมาสอนเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามให้แก่มินะโมะโตะ โนะ โยะชิซึเนะ

โทะงะคุเระ ริวได้กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอัง ไว้ว่านินจา ได้แบ่งออก เป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ได้ร่วมต่อสู้กัน ซึ่งในนิยายหรือการ์ตูนจะกล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายนี้

ในยุคคามะคุระ ได้มีประวัติศาสตร์กล่าวไว้ถึง คุซุโนะกิ มะซะชิเงะ ได้ใช้เทคนิคในการรบซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับวิชานินจา ต่อมาในช่วง ยุคเซนโงะกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสายลับลอบสืบข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม ในยุคสงครามการรู้ข้อมูลและแผนการของฝ่ายข้าศึก จะทำให้มีชัยชนะเหนือกว่า ไดเมียวบางคนได้ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ซะนะดะ ยุคิมุระ หัวหน้ากลุ่มซะนะดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากที่ซะนะดะ ยุคิมุระนำกลุ่มทหารเพียง 3,000 คนปกป้องปราสาท สู้กับกองทัพ 50,000 คนของโทะกุงะวะ ฮิเดะตะดะ

ในยุคเดียวกัน โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ได้มีการใช้นินจา จนท้ายที่สุดได้ชนะสงครามและตั้งตัวเป็นโชกุนของประเทศญี่ปุ่น มีการกล่าวถึงผลงานกลุ่มนินจา นำโดยฮัตโตะริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ เป็นผู้นำทางให้อิเอยาสุหลบหนีออกมาในช่องเขานาระภายหลังจากที่ลอบโจมตีทัพของ โอะดะ โนะบุนะงะ สงครามครั้งสุดท้ายที่มีการกล่าวถึงนินจา ในช่วงยุคของโชกุนโทะกุงะวะ คือสงครามกลางเมืองที่ชิมาบาระ ของกลุ่มชาวนาที่โกรธแค้นฝ่ายรัฐบาลที่เรียกเก็บภาษีแพง เมื่อสิ้นสุดสงครามนินจาเริ่มหมดหน้าที่ โดยนินจาบางคนได้มาเป็นโอะนิวะบังชู กลุ่มรักษาความปลอดภัยของปราสาทเอะโดะ ทำหน้าที่ปกป้องผู้ร้ายและขณะเดียวกันก็แอบสืบข้อมูลของไดเมียวคนอื่น นินจาคนอื่นจะเก็บตัวปลอมปนกับชาวนาโดยยังคงฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อพร้อมที่จะได้ใช้วิชานินจาที่อาจจะมีสงครามเกิดขึ้น ในช่วงยุค 200 ปีหลังจากของตระกูลโทะกุงะวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา โดยมีการสืบต่อผ่านทางปากต่อปากและคนสนิทเท่านั้น

ในยุคเอโดะ นินจาได้เป็นที่นิยมในหนังสือและการแสดง วิชานินจาต่างๆ รวมทั้ง การล่องหน การกระโดดสูง การท่องมนต์นินจา และการเรียกกบยักษ์มาช่วยต่อสู้ ถูกสร้างขึ้นในยุคนี้สำหรับใช้ประกอบในการแสดง เพื่อความบันเทิง

คาถาของนินจา

มีหลายคนบอกว่านินจาสามารถหายตัวได้ภายในพริบตา มีคาถาอาคม เวทมนตร์ อยู่มากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วนินจาก็เป็นมนุษย์ทั่วไป สิ่งที่พวกเขาทำได้เกิดจากการฝึกฝนล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น เช่น การล่องหนหายตัว นินจาก็ใช้วิธีส่วนตัวในการตบตาคนอื่นให้ดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถหายตัวได้ก็เท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกคาถาทั้งหลายก็เป็นเพียงเรื่องที่แต่งเติมเพิ่มสีสันเข้าไปให้นินจาสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องราวของการโชว์และความบันเทิงนั้นดูมีความน่าสนใจขึ้น

อาวุธของนินจา

นินจามีอาวุธที่พวกเขาพกติดตัวไว้ใช้ในยามจำเป็นและอาวุธแต่ละอย่างของนินจานั้นค่อนข้างมีขนาดที่พกพาสะดวกและง่ายต่อการใช้

1.ดาบ เปรียบเสมือนมือขวาของนินจา สั้น เล็ก เรียว บาง แต่คม ซึ่งจะเน้นการใช้แทงในระยะประชิด (ดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตะนะของซะมุไร แต่ใหญ่กว่าวะกิซะชิ)

2.ดาวกระจาย ซึ่งนินจาส่วนใหญ่พกมา ซึ่งจุดประสงค์หลักจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่การฆ่า แต่กลับเป็นการสกัดการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า บางทีก็อาจมีการเคลือบยาพิษอีกด้วย

3.คุนะอิ มีไว้ขุดหลุมหรือขว้างใส่ศัตรูเหมือนดาวกระจาย

4.สนับมือ เป็นอาวุธที่ต้องสวมเข้าที่มือ เพื่อปัดดาบของศัตรูหรือชกศัตรู

5.กับดักโลหะ เป็นอาวุธที่ต้องโยนลงพื้นเวลาหนีศัตรู กับดักนี้จะปักติดกับเท้าของศัตรู

6.ตะขอยืดหยุ่น สามารถพับเก็บได้ ใช้เป็นเครื่องมือเมื่อปีนกำแพง

ความแตกต่างของนินจากับซามูไร

นินจากับซามูไรนั้นก็คือทหารของโชกุนเฉกเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนตรงที่ซามูไรนั้นเปรียบเสมือนทัพหน้าที่คอยออกสู้รบปรบมือกับฝ่ายตรงข้ามอย่างโจ่งแจ้ง แต่กับนินจาแล้ว พวกเขาคือหน่วยที่มีหน้าที่เสาะหาข้อมูลลับของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง พวกเขาจะทำงานกันอย่างลับๆ ไม่เปิดเผย ชอบทำงานกับความมืดเป็นอย่างยิ่ง… และแยกส่วนออกจากซามูไรอย่างชัดเจน

เครื่องแต่งกาย

เครื่องแต่งกายของนินจานั้นก็คงเป็นการสวมชุดดำทั้งชุด โพกหน้าปิดปากด้วยผ้าสีดำเช่นกัน ซึ่งนั่นอาจเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปตามสื่อต่างๆ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่มีหลักฐานใดๆ ชี้ชัดว่าเครื่องแต่งกายของนินจานั้นเป็นเช่นไร แต่โดยหลักการแล้ว พวกเขาก็คงต้องใส่ชุดที่สามารถอำพรางตัวได้ เนื้อผ้าน้ำหนักเบา เพื่อการทำงานที่ง่ายและสะดวก และในเมื่อส่วนใหญ่นินจาทำงานในเวลากลางคืน เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าสีดำก็น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะไล่ลงมาตั้งแต่หมวกคลุมศีรษะ ผ้าปิดปาก ชุดสีดำไล่ยาวลงไปถึงด้านล่าง

ในปัจจุบัน

มีหลายคนยังคงบอกว่า นินจายังคงมีตัวตนอยู่ โดยทำงานหน่วยข่าวกรองของประเทศญี่ปุ่น แต่เท็จจริงประการใดยังไม่มีใครรู้แน่ชัด ส่วนสำนักนินจาหรือหมู่บ้านนินจาอิงะก็กลายไปเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ถ้าหากพูดถึงวิชานินจิตสึที่เป็นวิชาดั้งเดิมของนินนาก็ยังมีอยู่ โดย “สำนักบูจินกัน” ที่ประเทศญี่ปุ่นยังมีการสืบทอดและเปิดสอนกับบุคคลทั่วไปที่สนใจศาสตร์แห่งนินจาอย่างแท้จริง โดยคุณมาซากิ ฮัตสึมิ เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 34 มากไปกว่านั้นผู้ฝึกสอนของสำนักนี้ก็เป็นผู้สอนให้กับกองทหารและตำรวจทั่วโลก (นาวิกโยธิสหรัฐอเมริกาก็มีหลักสูตรการเรียนบางส่วนที่ได้รับจากสำนักบูจินกันด้วย) ซึ่งส่วนในประเทศไทยก็มีโรงฝึกบูจินกันที่เปิดสอนศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นแบบจริงจังกันอยู่

Ninja_03

 

CR.https://th.wikipedia.org/wiki/

0

ญี่ปุ่น Japan

“ญี่ปุ่น” เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ญี่ปุ่น (แก้ความกำกวม)

ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本 Nihon/Nippon นิฮง/นิปปง ?) มีชื่อทางการคือประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本国 Nihon-koku/Nippon-koku นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ ?) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์ เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ จึงทำให้บางครั้งถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย

ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก[7] หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน[8]เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือกรุงโตเกียว ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน

สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490

ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยมีจีดีพีสูงเป็นอันดับสามของโลกในปี พ.ศ. 2553[9] ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จี 8 โออีซีดี และเอเปค และมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ญี่ปุ่นมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี

CR.https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศญี่ปุ่น

กลับไปด้านบน

0

สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

สถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีหลายที่มาก แต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างสถานที่นะคะ

 

0

ซูโม่

ซูโม่ (ญี่ปุ่น: 相撲 sumō ซุโม่) หรือมวยปล้ำญี่ปุ่นเป็นกีฬาประจำชาติที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ประวัติของซูโม่สามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึงศตวรรษที่ 8 โดยวังหลวงได้คัดเลือกนักมวยปล้ำจากกองทัพมาสู้กัน เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ชาววังในเกียวโต และพัฒนาจนกลายเป็นกีฬาอาชีพในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมจากประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ เป็นต้น อีกด้วย

ประเพณีที่ยึดถือในกีฬาซูโม่นั้นมีความเก่าแก่มาก และยึดถือเป็นแบบปฏิบัติต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน เช่น การโปรยเกลืออันเป็นสัญลักษณ์แสดงความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นประเพณีที่ซูโม่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในศาสนาชินโต การใช้ชีวิตของนักปล้ำซูโม่นั้นเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง และอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยสมาคมซูโม่ นักปล้ำซูโม่อาชีพจะใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้ค่ายสังกัด (heya) ของตนเอง โดยแบบแผนการดำเนินชีวิตในทุกด้าน นับตั้งแต่อาหารการกิน ไปจนกระทั่งการแต่งกาย นั้น ถูกกำหนดด้วยประเพณีปฏิบัติอันเคร่งครัด

ลักษณะ

คู่ปล้ำจะมีรูปร่างอ้วนใหญ่ และจะต้องมีน้ำหนักตัวจะต้องไม่ต่ำกว่า 75 กก.ทั้งสองฝ่ายต้องพยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม ทำให้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายนอกเหนือจากฝ่าเท้าแตะกับพื้น หรือดันคู่ต่อสู้ให้ออกจากวงกลมขนาดเล็ก การต่อสู้ใช้เวลาไม่นานและเริ่มต้นด้วยพิธีกรรมซึ่งรวมถึงการโปรยเกลือบนพื้นในกรอบวงกลม เป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ เนื่องจากซูโม่เป็นกีฬาที่มีเกียรติ ผู้ที่ก้าวไปถึงตำแหน่ง “โยโกสุนะ” ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของซูโม่ถือว่าเป็นผู้พิชิตอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ฤดูกาลแข่งขันซูโม่ของนักซูโม่อาชีพ เปิดการแข่งขันปีละ 6 ครั้ง คือในเดือนมกราคม มีนาคม พฤษภาคม กรกฎาคม กันยายน และพฤศจิกายน โดยแต่ละครั้งใช้เวลานาน 15 วัน

 

ซูโม่

 

CR.http://th.wikipedia.org/wiki/

0

ซูชิ

ซูชิ (ญี่ปุ่น: 寿司 sushi ซุชิ  และมีการเขียนหลายแบบ ได้แก่ すし、鮨、鮓、寿斗、寿し、壽司 ?) หรือ ข้าวปั้นมีหน้า เป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ข้าวมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และกินคู่กับปลา เนื้อ หรือ ของคาวชนิดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ซูชิมักจะหมายถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซูชิเมะชิ (寿司飯, ข้าวที่ผสมน้ำส้มสายชู) และมีหน้าแบบต่างๆเป็นหน้า ที่นิยมได้แก่ อาหารทะเล ผัก ไข่ เห็ด เนื้อที่นำมาใช้อาจจะเป็นเนื้อดิบ หรือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการทำอาหารแล้ว สำหรับในประเทศอื่น และซูชิส่วนใหญ่มักใส่วาซาบิ บนข้าวเพื่อให้ได้ความอร่อยมากยิ่งขึ้น

ซูชิ หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าว ซูชิมีวิวัฒนาการมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วซึ่งเกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น

คำว่า “ซูชิ” นิยมหมายถึง นิงิริซูชิ ที่เป็นข้าวมาอัดเป็นก้อนและมีเนื้อปลาวางบนด้านหน้าเท่านั้น

ซูชิ

ประเภทของซูชิ

* นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi) เป็นซูชิพบได้บ่อยในภัตตาคาร ซูชิจะมีลักษณะข้าวเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก ฯลฯ ไว้ข้างบน อาจจะใส่วาซาบิเล็กน้อย หรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลก็ได้ ซูชิแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด

ข้าวปั้นที่กดข้าวเป็นสี่เหลี่ยมมนๆ ด้วยฝ่ามือและมีอาหารสดวางอยู่เด้านบน มีวาซาบิใส่ไว้นิดหน่อยระหว่างกลาง อาจมีการพันสาหร่ายแผ่นบางๆ ไว้ด้วย วัตถุดิบที่นิยมนำมาทำก็คือ ปลาดิบ ปลาหมึก ปลาไหล ไข่หวาน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หอยเม่น หรืออาหารทะเลอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน

* Hosomaki ซูชิทรงกระบอกขนาดเล็กบางๆ ห่อด้วยสาหร่าย ส่วนใหญ่จะมีไส้เพียงอย่างเดียว เช่น แตงกวา แครอท ทูน่า เป็นต้น โดยที่ไส้แตงกวา จะเรียกว่า Kappamaki เป็นชื่อที่ได้มาจากปีศาจน้ำกัปปะที่ชื่นชอบการกินแตงกวาเป็นพิเศษ และซูชิชนิดนี้นิยมทานเพื่อล้างปากระหว่างการทานปลาดิบกับอาหารชนิดอื่นๆ เพื่อที่เราจะได้เข้าถึงรสชาติของปลาดิบได้มากขึ้นนั่นเอง

* มากิซูชิ (Maki Sushi) Makizushi หรือ Norimaki หรือ Makimono ซูชิรูปทรงกระบอกม้วนยาว ใช้สาหร่ายแผ่กว้างใส่ข้าวใส่ผักใส่เนื้อหรือปลาลงไป วางบนแผ่นไม่ไผ่ที่ใช่ห่อซูชิ แล้วม้วนให้เข้ากัน ตัดให้พอดีคำ

* Uramaki ซูชิรูปทรงกระบอกขนาดกลางๆ ใช้ข้าวห่อ สาหร่าย แตงกวา มายองเนส อะโวคาโด แครอท เนื้อปู ทูน่า ม้วนละโรยด้วยเมล็ดงา

* Gunkan maki ข้าวปั้นรูปไข่ ใช้สาหร่ายพันรอบข้าวและมีอาหารทะเลหรือของสดวางไว้ข้างบน แต้มวาซาบิไว้ข้างในด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ปลา ไข่กุ้ง หอยเม่น เป็นต้น

* Temaki ซูชิรูปกรวยนั่นเอง ไส้ต่างๆ ห่อด้วยข้าวและสาหร่ายอีกชั้นพันห่อเป็นรูปกรวย ซูชิแบบนี้ใช้มือหยิบทานจะถนัดกว่า

* อินะริซูชิ (Inari Sushi) เต้าหู้ทอดแผ่นบางยัดไส้ซูชิเข้าไป มีทั้งข้าว ปลาดิบและผัก บางที่ก็นำไข่บางๆ มาทำเป็นที่ห่อแทนด้วย แต่รสชาติจะหวานกว่า

* ชิราชิซูชิ (Chirashi Sushi) เป็นการจัดปลาดิบ ปลาหมึก กุ้ง ผัก ฯลฯ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนข้าวในภาชนะต่างๆ ชาวโอซาก้าเรียกว่า Gomokuzushi แบบคันไซไม่มีการจัดเรียงมากมายตักใส่ข้าวลงในชาม โรยด้วยสาหร่ายและผักตามแต่จะชอบแต่ต้องเป็นของที่ไม่หนักท้องเท่าไหร่ ซูชิชนิดนี้จัดทำในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป

* โอชิซูชิ (Oshi Sushi) หรือรูปแบบคันไซจากเมืองโอซาก้า เอาข้าวแล้ววางเนื้อปลาไว้ด้านบนมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาวหั่นขนาดพอดีให้รับประทานเป็นคำๆ

* Temarizushi ข้าวปั้นของเป็นลูกกลมๆ วางหน้าซูชิแต้มวาซาบินิดนึงแล้วห่อกับพลาสติกบีบด้วยฝ่ามือให้เข้ากัน ก็เสร็จเรียบร้อย ก็นิยมใช้อาหารทะเลและอาหารสด อาหารย่างก็ได้เหมือนกัน

* สุงะตะซูชิ (sugata sushi) ซูชิที่ใช้ปลาทั้งตัวมาหั่นแล้วนำเนื้อมาวางบนข้าว

* นาเระซูชิ (naresushi) ซูชิที่มีลักษณะคล้ายกับปลาส้ม

ชิ้นส่วนต่างๆของปลาที่ทำซูชิ

โดยทั่วไปแล้วทูน่าในซูชิมีส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วน

  • Akami: คือทูน่าที่มีเนื้อสีแดงแบบไร้มัน ซึ่งจะอยู่ในส่วนหลังปลา และเป็นซูชิแบบทั่วไป, ส่วนเนื้อแดงที่นิยมสุดจะอยู่ Senaka (หลังส่วนกลาง – Middle part of back) และ Sekami (ตรงหลังส่วนหน้า – Upper part of back), ส่วนที่นิยมน้อยที่สุดคือ Seshimo (หลังสุด – Bottom part of back)
  • Toro: คือทูน่าติดมันหรือละลายในปากตามต้นความหมายเดิมของภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นซูชิชั้นดี, Chu-toro ทูน่าตรงท้องส่วนกลาง เป็นส่วนที่มัน ซึ่งอร่อยและแพง, O-toro ทูน่าตรงท้องด้านหน้า เป็นส่วนที่มันที่สุด ซึ่งอร่อยและแพงที่สุด
  • ส่วนอื่นๆ: เช่น Noten (หัวส่วนหน้า), Hoho (แก้ม), Kama (แก้มด้านหลัง) อาจไม่ค่อยเจอบ่อยในร้านทั่วไป ต้องบางร้านที่มีเมนูเฉพาะเท่านั้น

อยากขายซูชิ

 

CR.http://th.wikipedia.org/wiki/

0

ชุดประจำชาติของญี่ปุ่น

ประวัติของกิโมโน

กิโมโนชุดประจำชาติญี่ปุ่น-pic-001

     สมัยนารา (ค.ศ. 710 – 794) ก่อนที่ชุดกิโมโนจะเป็นที่นิยม ชาวญี่ปุ่นมักแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย     ต่อมาในสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 – 1192) ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดชุดเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ หยิบมาคลุมตัวได้ทันที ทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ สามารถเปลี่ยนเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้เหมาะกับฤดูกาล ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว โดยวงการแฟชั่นสมัยนั้น ผู้ตัดเย็บก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสัน ผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและชนชั้นทาง สังคมถือว่าเป็นช่วงที่ชุดพัฒนาในเรื่อง สี มากที่สุด     ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1338 – 1573) ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็นนักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำ      ต่อมาในยุคเอโดะ ( ค.ศ. 1600-1868 ) ช่วงที่โชกุนโตกูกาวาปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไปปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตเอง เรียกว่าเป็น “ชุดเครื่องแบบ” โดยชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง

     สมัยต่อมา ในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 – 1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใส่ชุดสากลในชีวิตประจำวัน และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการเท่านั้น

Kimonos-Uchikake-2

นอกจากชุดกิโมโนแล้ว ยังมีชุดอีกแบบซึ่งถือว่าสวยที่สุด มีชื่อว่า อูชิคาเคะ (uchikake) จะเป็นชุดกิโมโนยาวเต็มยศซึ่งเจ้าสาวจะเป็นผู้สวมใส่ในพิธีแต่งงาน ตัดเย็บจากผ้าไหมประดับด้วยดิ้นไหมสีทองและเงิน ส่วยใหญ่จะเป็นลวดลายดอกไม้หรือนก
     กิโมโนมีด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น ชุดกิโมโนสำหรับผู้หญิงที่ยังเป็นโสดและแต่งงานแล้ว การออกแบบจะแตกต่างกัน รวมถึงสีสันความยาวของชายเสื้อ และลวดลาย เนื้อผ้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสของการสวมใส่และเป็นพิธีการหรือไม่เป็นทางการ แรกเริ่มเดิมทีผู้หญิงญี่ปุ่นจะสวมใส่กิโมโนในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ และโอกาสสำคัญ ๆ เช่น การเติบโตเป็นสาวเต็มตัว, งานเลี้ยงจบการศึกษา, งานแต่งงาน และงานพิธีศพ เป็นต้น
     หากเปรียบเทียบการตัดเย็บเสื้อผ้าระหว่างชุดของตะวันตกกับชุดกิโมโนของญี่ปุ่นแล้ว จะเห็นถึงความแตกต่างในด้านการตัดเย็บเพราะชุดของตะวันตก สามารถดัดแปลงแก้ไขตามขนาดของผู้สวมใส่ให้พอดี แต่ชุดกิโมโนจะใช้วิธีตัดเย็บขนาดให้หลวมพอประมาณแต่จะแก้ไขให้พอดีตัวเมื่อต้องนมาสวมใส่ ดังนั้นจึงต้องใช้ผู้ชำนาญการเป็นพิเศษสำหรับตัดเย็บ ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นซึ่งคุ้นเคยกับการสวมเสื้อผ้าแบบตะวันตก จึงไม่สามารถที่จะใส่ชุดกิโมโนได้ด้วยตัวเอง
     ความปรณีตและความสวยงามของชุดกิโมโนจะบังเกิดขึ้นมาได้ก็ด้วยการตัดเย็บด้วยฝีมือของช่างตัดเสื้อโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว หากผู้ชายจะสวมใส่ชุดกิโมโนบ้างในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เพราะจะต้องออกมารับแขกที่มาเยือนบ้าน และในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ อาจจะเหลือเพียงแค่เสื้อคลุมครึ่งท่อน (haori) และกระโปรงแบ่งครึ่ง (hakama)
ชุดผ้าฝ้าย ยูคาตะ (yukata) ก็ถือว่าเป็นชุดกิโมโนอย่างไม่เป็นทางการซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในฤดูร้อนเมื่อสวมใส่อยู่กับบ้านจะให้ความสบายไม่ร้อนอบอ้าว

การตัดเย็บ   

     ชุดกิโมโน อาจจะตัดเย็บแบบเดินลายเส้นของผ้าหรือไม่ก็ได้ หรือเย็บตะเข็บด้วยผ้าฝ้ายก็ได้ หากไม่เดินลายเส้น นิยมสวมใส่ในช่วงเดือน มิ.ย. ถึง ก.ย. แต่ทุกวันนี้ การสวมชุดยาคาตะเป็นที่นิยมกันมากที่สุด ส่วนการออกไปนอกบ้าน นิยมสวมชุดกิโมโนตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าฝ้าย ในขณะที่ชุดกิโมโนเดินลายเส้นของผ้า จะสวมใส่กันในช่วงเดือน ต.ค. ถึงเดือนพ.ค. แต่จะเย็บด้วยผ้าไหม หรือผ้าสำลี
     สำหรับชุดกิโมโนที่เป็นพิธีการสำหรับผู้ชายจะเป็น ผ้าไหมสีดำ มีตราประจำตระกูลเป็นสีขาว ส่วนของผู้หญิงก็จะแตกต่างกันไป เช่น เป็นชุดผ้าไหมสีขาวหรือแดง ประดับด้วยไหมยกสีทองหรือสีเงิน ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะนิยมผ้าไหมสีเข้ม การออกแบบไม่ฉูดฉาด เช่น ชุดสำหรับไปร่วมงานศพ ก็จะเป็นสีดำเข้มไปเลย
ส่วนใหญ่การสวมชุดกิโมโนจะต้องสวมถุงเท้า (tabi) มีเสื้อชั้นในส่วนบน และผ้าพันรอบใต้กระโปรง จากนั้นจึงสวมกิโมโนทับ ซึ่งจะมีผ้ารัดเอว (datemaki) ไว้อย่างหนาแน่น ปกเสื้อนิยมสีขาว และจะต้องให้เห็นปกเสื้อประมาณ 1นิ้วเมื่อสวมกิโมโนทับ สาบเสื้อใช้ซ้ายทับขวา ทั้งหมดนี้คือวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวอาทิตย์อุทัยที่สืบทอดกันมานับพันปี

CR.http://www.student.chula.ac.th/~53373259/kimono.htm

0

ประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本 Nihon/Nippon นิฮง/นิปปง ?) มีชื่อทางการคือญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本国 Nihon-koku/Nippon-koku นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ ?) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์ เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่า “ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์”จึงทำให้บางครั้งถูกเรียกว่า ดินแดนเเห่งอาทิตย์อุทัย

ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก[7] หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือกรุงโตเกียว ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน

สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490

ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยมีจีดีพีสูงเป็นอันดับสามของโลกในปี พ.ศ. 2553 ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จี 8 โออีซีดี และเอเปค และมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ญี่ปุ่นมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี

map_japan

CR.http://th.wikipedia.org/wiki/